ข่าวภาคค่ำ – คอลัมน์หมายเลข 7 วันนี้ ชวนท่านผู้ชมถอดบทเรียน กรณี สส. ถูกศาลฎีกาสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ จากปมฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กฎหมายเข้ม คุมนักการเมือง ถึงขั้นหมดอนาคตหากไม่ประพฤติตนบนผลประโยชน์ส่วนรวม เป็นอย่างไรติดตามจากคุณสมจิตต์ นวเครือสุนทร
เมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.) ศาลฎีกามีคำสั่งให้ นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ สส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย หยุดปฏิบัติหน้าที่ จากกรณี ป.ป.ช. ฟ้องว่า ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ปมเรียกรับเงินจำนวน 5 ล้านบาท จากอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล แลกกับการผ่านงบประมาณ โดยให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่ง นับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจะนัดพิจารณาครั้งแรกเพื่อตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ปีหน้า
คดีนี้สืบเนื่องจาก นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวในที่ประชุมอนุกรรมาธิการแผนบูรณาการ 2 ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ว่า มีอนุกรรมาธิการฯ บางคนโทรศัพท์เรียกเงิน 5 ล้านบาท แลกกับการผ่านงบประมาณ โดยในภายหลังสื่อมวลชนยังมีการเผยแพร่บทสนทนาทางโทรศัพท์ เรียกรับเงิน 5 ล้านบาท แลกกับการผ่านงบประมาณด้วย ซึ่ง ป.ป.ช. ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวน กระทั่งมีการชี้มูลความผิดทั้งอาญาและฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
นายอนุรักษ์ ถือเป็น สส. คนที่ 4 ที่ถูกศาลฎีกาสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยคนแรกที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปก่อนหน้านี้ คือ นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ จากกรณีถือครองที่ดินป่าสงวน 711 ไร่ ในจังหวัดราชบุรี ส่วนอีก 2 คน ที่ถูกศาลฎีกาสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน คือ นายฉลอง เทอดวีระพงษ์ และ นายภูมิศิษฎ์ คงมี 2 สส.พัทลุง จากพรรคภูมิใจไทย ปมเสียบบัตรแทนกัน
ซึ่งหากศาลฎีกามีคำพิพากษาว่ามีความผิดจริง ก็จะต้องพ้นจากตำแหน่ง สส. และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและสิทธิเลือกตั้ง มีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี เท่ากับว่าจะหมดอนาคตทางการเมืองทันที เนื่องจากจะหมดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเมืองท้องถิ่นหรือระดับชาติ รวมทั้งจะดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ไม่ได้ตลอดไป จึงถือเป็นอุทาหรณ์ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องระมัดระวัง
เรื่องของจริยธรรมไม่ใช่สิ่งที่จะถูกมองข้ามได้อีกต่อไป เพราะมีกฎหมายบัญญัติบทลงโทษชัดเจน พลาดหลงไปในวังวนแห่งผลประโยชน์ส่วนตัว ละทิ้งอุดมการณ์ ไม่ยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง อนาคตการเมืองมีสิทธิ์ดับวูบ หมดหนทางหวนคืนสู่เส้นทางแห่งอำนาจได้อีก เป็นอุทาหรณ์ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องตั้งมั่นบนผลประโยชน์ชาติและประชาชน







