วันเสาร์ ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564, 06.00 น.
ศูนย์ปฐมพยาบาลชุมชน(Pfizer First-aid Center)โรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2(บ้านบ่อหวี) อ.สวนผึ้งจ.ราชบุรี
เพราะความเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ และความเร่งด่วนของคนเราไม่เท่ากัน “ศูนย์ปฐมพยาบาล” อาจจะดูไม่มีความจำเป็นเท่าไรหากเราอยู่อาศัยในเขตเมืองหรือชุมชนใหญ่ แต่สำหรับบางพื้นที่ที่ห่างไกลออกไปอีกหลายแห่งทั่วประเทศ ศูนย์ปฐมพยาบาลของชุมชนคือที่พึ่งพาแห่งแรก เพราะอาการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตได้จากความสำเร็จของศูนย์ปฐมพยาบาลชุมชนโรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2 (บ้านบ่อหวี) อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ทำให้มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยและมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยเตรียมขยายอีก 3 จังหวัดในปีนี้ คือ อุทัยธานี ระนอง และบุรีรัมย์
เปลว ปุริสาร ผู้อำนวยการโรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2 (บ้านบ่อหวี) เล่าถึงปัญหาความขาดแคลน ก่อนจะมีการสร้างศูนย์ปฐมพยาบาลฯ แห่งนี้ว่า “โรงเรียนมีห้องพยาบาลเพียง 1 เตียง อุปกรณ์การรักษาและยาก็มีไม่มาก ในขณะที่เรามีนักเรียนจำนวน 302 คนที่เป็นทั้งชาวไทยและกลุ่มชนกะเหรี่ยงเผ่าโปว์เมื่อเด็กๆ เกิดอุบัติเหตุหรือมีอาการเจ็บป่วยจึงไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึงมีโรงพยาบาลใหญ่คือโรงพยาบาลสวนผึ้งซึ่งอยู่ห่างจากชุมชน ในระยะทางไป-กลับกว่า 60 กิโลเมตรผู้ปกครองไม่มีรถในการพาเด็กๆ ไปหาหมอ และเนื่องจากโรงเรียนตั้งอยู่ในป่าจึงพบปัญหาไข้เลือดออกสูง ปี 2557 พบผู้ป่วยไข้เลือดออกสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศ นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบโรคมาลาเรีย และโรคชิคุนกุนยาด้วย
“เมื่อปี 2562 มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยและมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยได้เข้ามาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว พร้อมมอบศูนย์ปฐมพยาบาลชุมชน (Pfizer First-aid Center) ให้กับโรงเรียน จนถึงตอนนี้เป็นระยะเวลา 1 ปีกว่า เห็นได้ชัดเจนว่าสุขภาพอนามัยของเด็กนักเรียนดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะช่วยเรื่องการดูแลรักษาได้ทันท่วงที แต่หากเด็กมีอาการหนักโรงเรียนจะรีบติดต่อไปที่ รพ.สต. ให้เข้ามาช่วยดูแล”
รุ่งลาวัลย์ ทองลิ่ม พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.สต.บ้านบ่อหวี เล่าว่า“ศูนย์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำให้การบริหารจัดการด้านสุขภาพนักเรียนของเจ้าหน้าที่พยาบาลจาก รพ.สต.สะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ของโควิด-19 จากเดิมที่ต้องเดินตรวจตามห้องเรียนทำให้รบกวนเวลาเรียนของห้องใกล้เคียง ก็สามารถตรวจสุขภาพนักเรียนได้ทีละห้องอย่างเป็นระเบียบในสถานที่ที่เหมาะสม นอกจากนี้ การมีศูนย์ฯ นั้นช่วยแบ่งเบาปริมาณคนไข้ของ รพ.สต.ได้มากสำหรับคนไข้ที่ไม่ได้มีอาการหนัก อย่าง โรคทางเดินหายใจหรือไข้หวัด การประสบอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย และโรคผิวหนังที่มักจะเกิดขึ้นกับเด็กๆ คุณครูประจำศูนย์ปฐมพยาบาลจะสามารถช่วยดูแลได้ก่อน ซึ่งที่นี่มีเตียงคนไข้ 4 เตียง ยาสามัญประจำบ้าน และเครื่องมือปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาที่โรงพยาบาลที่ในแต่ละวันมีคนไข้จำนวนมาก”
การสร้างศูนย์ปฐมพยาบาลที่โรงเรียนแห่งนี้ ทำให้นักเรียนในโรงเรียนสามารถเข้าถึงปฐมพยาบาลได้อย่างทันท่วงที ดังที่ด.ญ.พรทิพา โฉมยง หรือ น้องมายด์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เล่าถึงการใช้ศูนย์ฯ ว่า “มักจะได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาอยู่บ่อยครั้ง แต่จะพบปัญหายารักษาที่ไม่เพียงพอรวมถึงเตียงนอนพักฟื้นที่มีไว้สำหรับคนที่มีอาการหนักมาก เพราะมีแค่เตียงเดียว ทำให้ต้องเดินทางกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านซึ่งมีระยะทางไกลจากโรงเรียนมาก และไม่มีคนคอยดูแลที่บ้านเพราะผู้ปกครองออกไปทำงานต่างจากปัจจุบันที่มีศูนย์ปฐมพยาบาลขนาดใหญ่พร้อมยารักษาและอุปกรณ์ที่เพียงพอ ทำให้สามารถรักษาตัวที่นี่ได้เลย”
ด.ญ.ลลิตา คำภาวะ หรือ น้องวี่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เล่าว่า “มาใช้ศูนย์ปฐมพยาบาลเวลามีอาการปวดหัว เป็นไข้ได้ครูประจำห้องพยาบาลคอยดูแล เพียงพอต่อความต้องการมากขึ้น ไม่เพียงแค่เพื่อนๆที่เป็นนักเรียนไทยเท่านั้น แต่เพื่อนๆ ที่มีผู้ปกครองเป็นชาวไทยกะเหรี่ยงก็มักจะมาขอยาสามัญจากศูนย์ปฐมพยาบาลแห่งนี้ไปให้ครอบครัวเวลาเจ็บป่วย เพราะไม่สามารถไปใช้สิทธิ์การรักษาในโรงพยาบาลได้ นอกจากมีอาการหนักจริงๆ จึงจะยอมไปโรงพยาบาล”
การสร้างศูนย์ปฐมพยาบาล ณ พื้นที่แห่งนี้ ที่สามารถให้บริการแก่คนไทยในพื้นที่และชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่จำนวนมาก จึงมีคุณค่าต่อผู้ที่ขาดโอกาสเข้าถึงการดูแลสุขอนามัยโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ
ศูนย์ปฐมพยาบาลแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงห้องพยาบาลเท่านั้น แต่ยังถูกใช้เป็นสถานที่ตรวจสุขภาพของเด็กๆ รวมถึงจัดกิจกรรมให้ความรู้ในเรื่องการดูแลสุขภาพอนามัย โดยทางรพ.สต.จะมาให้ความรู้ที่ มุ่งเน้นสร้างพฤติกรรมการป้องกันโรคให้เป็นอุปนิสัย อาทิ สวมหน้ากากอนามัยเป็นประจำทุกวันล้างมือทุกครั้งที่สัมผัสสิ่งของ ก่อนและหลังรับประทานอาหาร ซึ่งนักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปบอกต่อให้ผู้ปกครองได้รู้ถึงวิธีในการดูแลตัวเองด้วย โดยในอนาคตจะมีการสร้างบุคลากรที่สามารถให้ความรู้ รวมถึงการพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ส่งเสริมด้านสุขภาพอนามัยให้แก่คนในชุมชนเพิ่มเติมต่อไปนอกจากนี้ ศูนย์ปฐมพยาบาลแห่งนี้นับเป็นตัวแทนของความร่วมมือจากหลายภาคส่วนที่เห็นเป็นรูปธรรม เพราะถึงแม้มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย และมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้สนับสนุนและดำเนินโครงการ แต่หากสร้างไว้แล้วไม่ได้รับการดูแล ต่อยอด และใช้งานโดยผู้คนในชุมชนอาคารแห่งนี้ก็จะเป็นเพียงอาคารที่ถูกทิ้งร้างไม่มีประโยชน์ใช้สอย แต่สำหรับศูนย์ปฐมพยาบาลที่โรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2(บ้านบ่อหวี) แห่งนี้ หลังจากเปิดให้บริการมาแล้ว 1 ปี แต่มีผู้เข้ามาใช้บริการอยู่ตลอดไม่ว่าจะเป็นนักเรียน คุณครู ผู้ปกครอง ได้รับการต่อยอดประโยชน์ใช้สอยโดยเจ้าหน้าที่จากรพ.สต. และผู้นำชุมชนให้เป็นศูนย์กลางการดูแลสุขอนามัยของชุมชน และมีผู้คนในชุมชนคอยดูแลรักษา ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อชุมชนเห็นถึงคุณค่าและความสำคัญ ศูนย์ปฐมพยาบาลแห่งนี้จึงได้ใช้ประโยชน์ และตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำเร็จของศูนย์ปฐมพยาบาลชุมชน โรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2 (บ้านบ่อหวี)อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี (Pfizer First-AidCenter) เกิดจากการวิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของคนในชุมชน และหยิบยื่นในสิ่งที่เกิดประโยชน์ได้จริง ทำให้ทางมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยและมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยเตรียมนำโมเดลนี้ขยายการจัดสร้างเพิ่มเติมในโรงเรียนที่ห่างไกล อีก 9 แห่ง ภายในระยะเวลา 3 ปี ได้แก่ ใน จ.อุทัยธานี, ระนอง, บุรีรัมย์, เชียงใหม่ (2 โรงเรียน), พังงา, เพชรบุรี, จันทบุรี และสตูล เพื่อเป็นศูนย์กลางการดูแลด้านสุขอนามัย เป็นศูนย์กลางการให้ความรู้ การอบรมและปฏิบัติจริง เพื่อให้นักเรียน บุคลากรในโรงเรียน รวมถึงคนในชุมชนสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพอย่างทั่วถึง ดังปณิธานตลอดระยะเวลา 20 ปี ของมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยที่ต้องการให้คนไทยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น